เจ้าหน้าที่มูลนิธิเผยแพร่พระพุทธศาสนาแก่ชนถิ่นกันดารฯ
๑. นางสาวจิตตินาถ ป้อมศรี ตำแหน่ง เจ้าหน้าที่บัญชรและการเงิน
๒. นายวรพล นามธง ตำแหน่ง เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานด้านสารสนเทศ
๓. นางสาวมิ่งกมล แก้วเหมือน ตำแหน่ง นักบริหารงานทั่วไป
นับตั้งแต่แรกตั้งโครงการพระธรรมจาริกเมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๐๘ เป็นต้นมา แสดงให้เห็นว่าโครงการพระธรรมจาริกประสบความ สำเร็จในการเผยแผ่พระพุทธศาสนากับพี่น้องประชาชนชาวเขา เป็นที่น่าพอใจระดับหนึ่งสมควรจะดำเนินการต่อไป แต่ด้วยงบ ประมาณในการดำเนินการขณะนั้นมีจำนวนจำกัด พี่น้องประชาชน ตอบรับพระธรรมจาริกเป็นอย่างดี เกิดศรัทธาประสาทะมาบรรพ ชาอุปสมบทเพื่อศึกษาพระธรรมวินัย ณ วัดเบญจมบพิตรจำนวน มากขึ้น เพื่อความยั่งยืนของงานพระธรรมจาริกจึงได้กำหนดจัด ตั้งมูลนิธิขึ้นภายใต้หลักการ
“โดยที่ชาวเขาและชาวไทยกว่า ๕๐๐,๐๐๐ คน ซึ่งอาศัยอยู่ตามป่าลึกบนภูเขาในท้องถิ่นทุรกันดาร ตามชายแดนภาคเหนือและภาคต่าง ๆ ของประเทศไทย ห่างไกลคมนาคม ยากลำบากแก่การจะไปมาหาสู่ได้ทั่วถึง ชนเหล่านี้จึงห่างไกลพระศาสนา ส่วนใหญ่นับถือภูตผีปีศาจ ไม่รู้จักพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมมาพุทธเจ้า หากมีพระภิกษุสงฆ์ออกไปจาริก สั่งสอนแก่ชนเหล่านั้นตามแนวของพระพุทธองค์ที่ได้ตรัสแก่พระพุทธสาวกรุ่นแรก ส่งไปประกาศพระศาสนาว่า "จรถ ภิกฺขเว จาริกํ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมปายฯ เปฯ เทเสถ ธมมํ” แปลความว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายเธอจงท่องเที่ยวไป จงแสดงธรรมเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่คนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์แก่ชาวโลกดังนี้ เป็นต้นแล้ว ก็จะเป็นมหากุศลแก่พระพุทธศาสนา และจะเกิดประโยชน์แก่ทางราชการเป็นอย่างมาก" ดังนั้น พระธรรมกิตติโสภณ(สมเด็จพระพุทธชินวงศ์) อดีตเจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม และพระภิกษุทั้งหลาย จึงปรึกษาตกลงดำเนินการเพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนา และอบรมสั่งสอนศีลธรรมแก่ชนเหล่านั้น โดยจัดส่งพระภิกษุสงฆ์คณะหนึ่ง เรียกว่า "พระธรรมจาริก" ออกไปปฏิบัติการตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๘ เป็นต้นมา ในขั้นแรก กรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงมหาดไทย เป็นผู้ถวายความอุปถัมภ์ ต่อมาได้มีผู้มีจิตศรัทธาบริจาคเงินและทรัพย์สินช่วยเหลือเป็นจำนวนมากขึ้น ทำให้การปฏิบัติงานพระธรรมจาริกได้ผลดียิ่งขึ้นตามลำดับ เพื่อให้กิจกรรมนี้ได้กระทำโดยกว้างขวางและถาวรต่อไป จึงตกลงจัดทำตราสารมูลนิธิขึ้น ณ พระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม กรุงเทพ เพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของท่านผู้มีกุศลศรัทธาต่อไป” โดยมีพระธรรมกิตติโสภณ(สมเด็จพระพุทธชินวงศ์) กับนายประสิทธิ์ ดิศวัฒน์ (พระประสิทธิ์ ปวฑฺฒโก) เป็นผู้ยกร่างตราสาร โดยได้ทำการจดทะเบียนเมื่อวันที่ ๒๙ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๑๔
ต่อมาในปีพุทธศักราช ๒๕๑๔ (ปีเดียวกันนั้น) คณะกรรมการมูลนิธิ ฯ ได้ดำเนินการกราบบังคมทูลเชิญสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เป็นองค์อุปถัมภ์ของมูลนิธิฯ และในปีพุทธศักราช ๒๕๑๖ นายเทียน อัชกุล อธิบดีกรมประชาสงเคราะห์ ทูลเกล้าฯ ถวายเงินจากการจำหน่ายพระพุทธรูปฝีพระหัตถ์จำลอง จำนวน ๒,๖๓๒,๐๓๙.๕๗ บาท แด่สมเด็จพระศรีนคริน
ทราบรมราชชนนี ณ วังสระปทุม และในการนี้สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
ทรงพระราชทานเงินจำนวนดังกล่าวเพื่อสมทบทุนมูลนิธิเผยแพร่พระพุทธศาสนาแก่ชนถิ่นกันดาร มูลนิธิเผยแพร่พระพุทธศาสนาแก่ชนถิ่นกันดารในพระบรมราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรี
นครินทราบรมราชชนนี ได้ดำเนินการตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ทุกประการ และจะดำเนินการ
ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
มูลนิธิชื่อว่า มูลนิธิเผยแพร่พระพุทธศาสนาแก่ชนถิ่นกันดาร ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จ
พระศรีนครินทราบรมราชชนนี” ใช้ชื่อภาษาอังกฤษว่า “ Buddhist Mission for Remote People Foundation Under The Patronage of H.R. H. The Princess Mother ”
(ได้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับข้อ ๑๒ จากนายทะเบียนมูลนิธิกรุงเทพมหานคร เมื่อ ๓ ธันวาคม ๒๕๔๖ ) โดยมีสำนักงานใหญ่ของมูลนิธิ ตั้งอยู่ที่
กองพัฒนาสังคมกลุ่มเป้าหมายพิเศษ กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ แขวงคลองมหานาค เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร และยังได้กำหนดตราสารต่อว่า เพื่อให้การปฏิบัติงาน
เผยแพร่พระพุทธศาสนาแก่ชาวเขา อันเป็นถิ่นกันดารในประเทศไทย ให้ได้ผลดีเจริญก้าวหน้าและถาวรสืบไป อาจตั้งสำนักงานสาขาของมูลนิธิขึ้นในส่วนภูมิภาค ตามที่คณะกรรมการบริหารมูลนิธิจะกำหนด โดยให้ความเห็นชอบจากคณะกรรมการที่ปรึกษา
ได้แก่ทุนส่วนหนึ่งของเงินที่ส่วนราชการ องค์การบริษัท ห้างร้าน โรงเรียน และประชาชน ได้ร่วมการกุศลบวชชาวเขา ปี ๒๕๑๒ ซึ่งพระธรรมกิตติโสภณ เจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตรดุสิต-วนาราม ประธานพระธรรมจาริก ได้อนุมัติให้จัดตั้งเป็นทุนประเดิมจำนวน ๑๙๕,๗๑๘ บาท (หนึ่งแสนเก้าหมื่นห้าพันเจ็ดร้อยสิบแปดบาทถ้วน) เรียกว่า "ทุนมูลนิธิ" นอกจากทุนมูลนิธิตามนัยข้อ ๕ แล้ว มูลนิธิอาจได้มาซึ่งเงินและทรัพย์สินโดยวิธีต่อไปนี้ ๑) เงินอุดหนุนจากรัฐบาล ๒) เงินที่ผู้มีจิตศรัทธาบริจาค ๓) ทรัพย์สินซึ่งมีผู้ยกให้โดยพินัยกรรมหรือนิติกรรมอื่น ๆ โดยไม่มีเงื่อนไขข้อผูกพันให้มูลนิธิต้องรับผิดชอบในทรัพย์สินแต่ประการใด ๔) ดอกผลอันเกิดจากทรัพย์สินของมูลนิธิ
มีกรรมการคณะหนึ่งซึ่งเป็นบรรพชิตจำนวนไม่เกิน ๒๕ รูป เรียกว่า "กรรมการที่ปรึกษา" ซึ่งมีหน้าที่ในการวางแผนให้คำปรึกษาแนะนำในการดำเนินงานมีอำนาจออกระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ ให้เป็นไปตามความเห็นชอบของมูลนิธิฯ โดยมีเจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เป็นประธาน มีคณะกรรมการบริหาร มีกรรมการจำนวนไม่น้อยกว่า ๑๑ คน และไม่เกิน ๒๕ คน ซึ่งประธานกรรมการที่ปรึกษาเป็นผู้แต่งตั้งให้คณะกรรมการบริหารเลือกกันเอง เป็นประธานคนหนึ่ง รองประธานคนหนึ่ง เหรัญญิกคนหนึ่ง ผู้ช่วยเหรัญญิกคนหนึ่ง เลขานุการคนหนึ่ง และผู้ช่วยเลขานุการคนหนึ่ง